วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต

อินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนชุมชนเมืองแห่งใหม่ของโลก เป็นชุมชนของคนทั่วมุมโลก จึงมีบริการต่างๆเกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา
    1.ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์(Electronic mail=E-mail) ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-mail เป็นการส่งจดหมายผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตโดยผู้ส่งสสามารถส่งข้อความไปยังที่อยู่ของผู้รับ ในรูปแบบของอีเมล์ เมื่อผู้ส่งเขียนจดหมาย แล้วส่งไปยังผู้รับ ผู้รับจะได้รับจดหมายภายในเวลาไม่กี่วินาที แม้จะอยู่ห่างกันคนละซีกโลกก็ตาม นอกจากนี้ยังสามารถส่งแฟ้มข้อมูลหรือไฟล์แนบไปกับอีเมล์ได้ด้วย
    2.กรขอเข้าระบบจากระยะไกลหรือเทลเน็ต(Telnet)
เป็นบริการอินเน็ตรูปแบบหนึ่งโดยที่เราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอร์อีกเครื่องหนึ่งที่อยู่ไกลๆได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ที่โรงเรียนทำงานโดยใช้อินเตอร์เน็ตของโรงเรียนแล้วกลับไปที่บ้าน เรามีคอมพิวเตอร์ที่บ้านและต่ออินเตอร์เน็ตไว้เราสามารถเรียกข้อมูลจากที่โรงเรียนมาทำที่บ้านได้ เสมือนกับเราทำงานที่โรงเรียนนั่นเอง
    3.การโอนถ่ายข้อมูล(File Transfer Protocol
หรือ FTP) เป็นบริการอีกรูปแบบหนึ่งของระบบอินเตอร์เน็ต เราสามารถค้นหาและเรียกข้อมูลจากแหล่งต่างๆมาเก็บไว้ในเครื่องของเราได้ ทั้งข้อมูลประเภทตัวหนังสือ รูปภาพและเสียง
    4.การสืบค้นข้อมูล(Gopher,Archie,World wide Web)
หมายถึง การใช้เครื่อข่ายอินเตอร์เน็ตในการค้นหาข่าวสารที่มีอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรียงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมีระบบ เป็นเมนู ทำให้เราหาข็อมูลได้ง่ายหรือสะดวกมากขึ้น
    5.การแลกเปลี่ยนข่าวสารและความคิดเห็น(Usenet) เป็นการให้บริการแลกเปลี่ยนข่าวสารและแสดงความคิดเห็นที่ผู้ใช้บริการอินเตอร์เน็ตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคิดเห็นของตน โดยมีการจัดการผู้ใช้เป็นกลุ่มข่าวหรือนิวกรุ๊ป(Newgroup)แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นหัวข้อต่างๆ เช่น เรื่องหนังสือ เรื่องการเลี้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร์และการเมือง เป็นต้น ปัจจุบันมี Usenet มากกว่า15,000 กลุ่ม นับเป็นเวทีขนาดใหญ่ให้ทุกคนจากทั่วมุมโลกแสดงความคิดเห็นอย่างกว้างขวาง
    6.การสื่อสารด้วยข้อความ(Chat,IRC-Internet Relay chat) เป็นการพูดคุยกันระหว่างผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซึ่งเป็นวิธีการสื่อสารที่ไดัรับความนิยมมากอีกวิธีหนึ่ง การสนทนากันผ่านอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดียวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไปมาได้ในเวลาเดียวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรือคนละซีกโลกก็ตาม
    7.การซื้อขายสินค้าและบริการ(E-Commerce = Eletronic Commerce) เป็นการจับจ่ายซื้อ - สินค้าและบริการ เช่น ขายหนังสือ คอมพิวเตอร์ การท่องเที่ยว เป็นต้น ปัจจุบันมีบริษัทใช้อินเตอร์เน็ตในการทำธุรกิจและให้บริการลูกค้าตลอด24ชั่วโมง ในปี2540 การค้าขายบนอินเตอร์เน็ตมีมูลค่าสูงถึง1แสนล้านบาท และจะเพิ่มเป็น1ล้านล้านบาทในอีก5ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นโอกาสทางธุรกิจแบบใหม่ที่น่าสนใจและเปิดทางให้ทุกคนเข้ามาทำธุรกิจได้โดยใช้ทุรไม่มากนัก
    8.การให้ความบันเทิง(Entertain) ในอินเตอร์เน็ตมีบริการด้านความบันเทิงในทุกรูปแบบต่างๆ เช่น เกมส์ เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เป็นต้น เราสามารถเลือกใช้บริการเพื่อความบันเทิงได้ตลอด
24ชั่วโมงและจากแหล่งต่างๆทั่วทุกมุมโลก ทั้งประเทศไทย อเมริกา ยุโรปและออสเตรเลีย เป็นต้น
โทษของอินเตอร์เน็ต
1.โรคติดอินเทอเน็ต(Webaholic)
อินเตอร์เน็ตก็เป็นสิ่งเสพติดหรือ?
การเล่นอินเตอร์เน็ต ทำให้คุณเสียงาน ผู้ใดเป็นผู้ที่ติดการพนัน การติดการพนันประเภทที่ถอนตัวไม่ขึ้น มีลักษณะคล้ายคลึงกับ การติดอินเตอร์เน็ต เพราะทั้งสองอย่าง เกี่ยวข้องกับการล้มเหลว ในการควบคุมความต้องการของตนเอง โดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสารเคมีใดๆ (อย่างสุรา หรือยาเสพติด) ผู้ที่มีอาการอย่างน้อย 4 อย่าง เป็นเวลานานอย่างน้อย 1 ปีถือได้ว่า มีอาการติดอินเตอร์เน็ต
  รู้สึกหมกมุ่นกับอินเตอร์เน็ต แม้ในเวลาที่ไม่ได้ต่อกับอินเตอร์เน็ต
  มีความต้องการใช้อินเตอร์เน็ตเป็นเวลานานขึ้น
  ไม่สามารถควบคุมการใช้อินเตอร์เน็ตได้
  รู้สึกหงุดหงิดเมื่อต้องใช้อินเตอร์เน็ตน้อยลงหรือหยุดใช้
  ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นวิธีในการหลีกเลี่ยงปัญหาหรือคิดว่าการใช้อินเตอร์เน็ตทำให้ตนเองรู้สึกดีขึ้น
  หลอกคนในครอบครัวหรือเพื่อน เรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของตัวเอง
  การใช้อินเตอร์เน็ตทำให้เกิดการเสี่ยงต่อการสูญเสียงาน การเรียน และความสัมพันธ์ ยังใช้อินเตอร์เน็ตถึงแม้ว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก
  มีอาการผิดปกติ อย่างเช่น หดหู่ กระวนกระวายเมื่อเลิกใช้อินเตอร์เน็ต
  ใช้เวลาในการใช้อินเตอร์เน็ตนานกว่าที่ตัวเองได้ตั้งใจไว้

มีผล กระทบต่อการเรียน อาชีพ สภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของคนคนนั้น ถึงแม้ว่าการวิจัยที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นว่า การติดเทคโนโลยีอย่างเช่น การติดเล่นเกมส์ ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับเพศชายแต่ผลลัพธ์ข้างต้น แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่ติดอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง วัยกลางคนและไม่มีงานทำ

2.เรื่องอณาจารผิดศีลธรรม(Pornography/Indecent Content)
เรื่องของข้อมูลต่างๆที่มีเนื้อหาไปในทางขัดต่อศีลธรรม ลามกอนาจาร หรือรวมถึงภาพโป๊เปลือยต่างๆนั้นเป็น เรื่องที่มีมานานพอสมควรแล้วบนโลกอินเทอเน็ต แต่ไม่โจ่งแจ้งเนื่องจากสมัยก่อนเป็นยุคที่
WWW ยังไม่พัฒนา มากนักทำให้ไม่มีภาพออกมา แต่ในปัจจุบันภายเหล่านี้เป็นที่โจ่งแจ้งบนอินเทอเน็ตและสิ่งเหล่านี้สามารถเข้าสู่เด็ก และเยาวชนได้ง่ายโดยผู้ปกครองไม่สามารถที่จะให้ความดูแลได้เต็มที่ เพราะว่าอินเทอเน็ตนั้นเป็นโลกที่ไร้พรมแดนและเปิดกว้างทำให้สื่อเหล่านี้สามรถเผยแพร่ไปได้รวดเร็วจนเรา ไม่สามารถจับกุมหรือเอาผิดผู้ที่ทำสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้
3.ไวรัส ม้าโทรจัน หนอนอินเตอร์เน็ต และระเบิดเวลา ไวรัส : เป็นโปรแกรมอิสระ ซึ่งจะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองให้มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะทำลายข้อมูล หรืออาจทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงโดยการแอบใช้สอยหน่วยความจำหรือพื้นที่ว่างบนดิสก์โดยพลการ
ม้าโทรจัน : ม้าโทรจันเป็นตำนานนักรบที่ซ่อนตัวอยู่ในม้าไม้ แล้วแอบเข้าไปในเมืองจนกระทั่งยึดเมืองได้สำเร็จ โปรแกรมนี้ก็ทำงานคล้ายๆกัน คือโปรแกรมนี้จะทำหน้าที่ไม่พึงประสงค์ มันจะซ่อนตัวอยู่ในโปรแกรมที่ไม่ได้รับอนุญาต มันมักจะทำในสิ่งที่เราไม่ต้องการ และสิ่งที่มันทำนั้น ไม่มีความจำเป็นต่อเราด้วย
หนอนอินเตอร์เน็ต : ถูกสร้างขึ้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคือโปรแกรมที่จะสืบพันธุ์โดยการจำลองตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากระบบหนึ่ง ครอบครองทรัพยากรและทำให้ระบบช้าลง
ระเบิดเวลา : คือรหัสซึ่งจะทำหน้าที่เป็นตัวกระตุ้นรูปแบบเฉพาะของการโจมตีนั้นๆ ทำงานเมื่อสภาพการโจมตีนั้นๆมาถึง ยกตัวอย่างเช่น ระเบิดเวลาจะทำลายไฟล์ทั้งหมดในวันที่ 31 กรกฎาคม 2542



อันตรายจากอินเตอร์เน็ตที่ควรรู้
เว็บบอร์ดหรือกระดานแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยนความคิดเห็น เป็นสิ่งหนึ่งที่เราสามารถใช้เพื่อดึงดูดความสนใจของนักท่องเว็บแต่ก็มีความ เสี่ยงอย่างมหาศาล

ในยุคอินเทอร์เน็ตที่กำลังแพร่หลายอยู่ในปัจจุบัน จะเห็นได้ว่าเด็กยุคใหม่ กำลังมีปัญหากับการใช้ความคิดและการพิมพ์ข้อความเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ มีการใช้คำหยาบคาย คำไม่สุภาพ การถูกดูหมิ่นผู้อื่น นินทาใส่ร้ายผู้อื่น จนทำให้ใครต่อใครเสียหายมามากมายแล้ว ล่าสุด ผู้เสียหายมักจะเป็นคนดัง เช่น ดารานักแสดง นักการเมือง ที่ถูกนินทาว่าร้ายทางเว็บบอร์ดในทางที่เสียหาย เด็กยุคใหม่นี้มีการซื้อขายบริการทางเพศทางเว็บบอร์ดก็มีบ้าง นอกจากจะเขียนหนังสือที่สื่อความไม่ดี และ หยาบคายไม่สุภาพแล้ว เด็กร่นใหม่ยุคปัจจุบันก็ยังขาดความรู้ความเข้าใจในคำไทยอยู่มากพอสมควรและ ไม่รู้จักกาลเทศะ

ที่น่าสังเกตว่า มีหลายคนตอบในเว็บบอร์ดตามกระทู้ต่างๆ จะพบว่า คนตอบส่วนใหญ่มักขาดความพยายามในการใช้เหตุและผลในการตอบของตนเองเสียก่อน พวกเขามักจะนึกอยากจะพูดก็พูดออกมาเลยก็ ซึ่งจะกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีติดตัวไปอีกนาน ความหวังที่พวกเราจะได้เด็กรุ่นใหม่มาแก้ปัญหาของชาติดูจะริบหรี่ลงไปเลยที เดียวความเลวร้ายของอินเทอร์เน็ตยังลึกลงไปกว่านี้อีกเยอะ จนเราตามไม่ทัน ในตอนแรกๆ ที่เราเข้าไปดูเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ต่างๆ เช่น พันธุ์ทิพย์ดอทคอม ที่สังเกตเห็นทันทีว่าคนส่วนใหญ่พิมพ์คำไทยผิดเพี้ยนไปมากหลายคำหลายประโยค และ มีการใช้คำไม่สุภาพอีกมากมายในเว็บบอร์ดอีกด้วย

บางคนเขียนด่าหรือเขียนส่อเสียด ผู้อื่น จนทำให้ผู้อื่นเสียหายมามากแล้ว ด้วยความรู้สึกที่อยากจะระบายอารมณ์ด้วยการ "ด่าหยาบคาย ใช้คำรุนแรงไม่สุภาพลงไปในเว็บบอร์ด

คำด่าหรือคำส่อเสียดนั้นก็ จะหลีกเลี่ยงไปใช้คำที่ผิดๆ เรื่องเหล่านี้กำลังแพร่ระบาดมากในเว็บไชต์ต่างๆมากขึ้นทุกวัน และกำลังแพร่ระบาดไปถึงทุกระดับสังคม โดยเฉพาะสังคมอินเทอร์เน็ต "ใครใคร่พูดอะไรก็พูดออกมา ใครใคร่ด่าใครก็ด่าออกมา แต่พูดให้มันกำกวมหรือไม่ตรงกับตัวคนจริง ทั้งหมดนี้แหละ คือ ของจริงและน่ากลัวจนขนหัวลุก กลายเป็นปัญหาสังคมไทยไปแล้ว

คุณเป็นมนุษย์ MSN แบบไหน???

1. แหล่งหากิ๊ก หาเกลื้อน(แผลงมาจากเพื่อนอีกที) หาไก่ หาแก่ หาก้น และหากาม..

พวกนี้ส่วนใหญ่เรียกได้ว่าพยายามอัพเกรดตัวเองขึ้นมา จากเมื่อก่อนยังใช้เมล์ภาษาไทยอยู่ พวกนี้มักคิดว่าชื่อเมล์ของตัวเอง นั้นกิ๊บเก๋ ยูเรก้าสุดๆและใช้ล่อเหยื่อทุกเพศทุกวัย ตามที่ต่างๆ พวกนี้บางทีก็เป็นนักปรัชญา สำบัดสำนวน เปลี่ยนมันทุกวัน
2. บางพวกให้เป็นแหล่ง สัมพันธ์ รัก ถึงขั้นได้-เสียกัน บนหน้าจอคอมฯพิวเตอร์
3. พวกสรรหารูป โลโก้ อีมูต่างๆ ออกมาโชว์ได้ทั้งวันทั้งคืน
4. พวกออนไลน์ 24 ช.ม. แข่งเซเว่น..
5. พวกแอดแหลก เมล์ยาวอย่างกะห่างว่าว คุยกะใครบ้างแล้วยังจำไม่ได้เลยส่วนใหญ่จะตกอยู่ในวังวนแบบนี้ไปเรื่อยๆ
6. พวกมุขเยอะ คิดว่าของตัวเอง ตลกสุด แต่ที่ไหนได้ฝืดสนิท... พวกนี้ เป็นโรค โรคอืม... หุหุ.. หึหึ..เหอๆ.. อิอิ.. กำ.. เวง.. สาด.. โรค.. เหรอ หรือ หรอ และฯลฯ อีกหน่อย จะเอ๋อเหรอแน่ๆ
7. พวกนี้ เก่งด้านศิลปะ เป็นหลัก งานปั้นน้ำเป็นตัว งานวาดวิมานในอากาศ งานสร้างเรื่อง บางพวก ต้มตุ๋นหลอกลวง แอบอ้าง เป็นพวกให้ข้อมูลเท็จ ซึ่งค่อนจะพบได้ง่ายตามชุมชน เอ็ม ทั่วไป
8. พวกอัพเกรด เวอร์ชั่นใหม่ๆ มาไม่เคยพลาด ออกมาลอกลิ้น ปลิ้นตา ส่งเสียงหวีดหวิว จัดได้ว่าเป็นพวกเปรตที่พัฒนาในยุคไอที
9. พวก เว็บแคม ใจจริงๆ ก็อยากเห็นพยางค์หลังอย่างเดียวมากกว่าพวกหลงใหลในรูปลักษณ์ พวกนี้ก่อนออนมักจะคุยกับกล้องเว็บแคมว่า "ใครงามเลิศในปฐพี" กรรมจิงๆ
10. พวกออนไลน์ เจี๋ยมเจี๊ยม พวกนี้คุยอยาก ถามคำตอบคำ มึงไม่ถามตูไม่ตอบ พวกนี้จะขึ้นต้นด้วย ใครอ่ะ
แอดเราได้ไง อืม.............
11. พวกความรัก เรียกว่า textlove หน้าตายังไม่เห็น แต่จะเอาไว้ก่อน..
12. พวกถ่ายรูป 100 ใบ แล้วหาได้ ใบเดียว ที่ดีที่สุด มาออนโชว์..

คุณเป็นพวกแชตแบบไหนเอ่ย???

คนที่เล่นแชตมีหลายจำพวก
1.มันมาเพื่อป่วนประสาทชาวบ้าน
 1.1 มันมาเพื่อแสดงอำนาจข้าว่าเก่ง ข้าแน่ เจ๋ง และข้าเก๋าเจ๊ง แน่จริงเจอกันได้ (แล้วมันก็นัดเจอจากนั้น ก็ไม่มา ใครหลงมานี่โง่หลายตายซะ โดนหลอกให้มาก็ดันมา)
 1.2 มันมาเพื่อด่า (อันนี้หาเรื่องสุดๆๆ)
 1.3 มันมาเพื่อแซว (ก็ตามความหมายเห็นใครก็แซว)
 1.4 มันมาเพื่อขัดขวาง เห็นใครคุยกันไม่ได้ จะป่วนจนเลิกคุยกันให้หมดทั้งห้อง หรือกระทำการใดๆๆก็ตามให้ไอ้คนที่จีบๆๆกันอยู่เลิกคบกัน ตั้งแต่ ปลอมเป็นหญิงแล้วบอกว่าเป็นแฟนผู้ชายที่คุยอยู่ ยันไปถึงหาเบอร์โทรแล้วโทรไปบอกผู้หญิงคนที่มันจีบกันว่าเป็นเมียของผู้ชาย ที่คุยด้วย (เรื่องจริงล้วนๆที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้)
2.มาเพื่อหาความรู้ (พวกนี้น่าสงสารเพราะไม่ค่อยมีใครยอมบอกพวกมันในการแก้ไขปัญหา)
3.พวก อุทิศตน(พวกนี้มีน้อยแถวบ้านเรียกชนกลุ่มน้อย จะบอกหรือสอนคนก็ต่อเมื่อ คนนั้นสวยถ้าไม่สวยหรือเป็นผู้ชาย น้อยคนนักที่มันจะสอนให้แบบเอาเป็นเอาตายโดยไม่คิดอะไร ถ้าสอนโดยไม่หวังอะไรนี่คนนั้น ขอนับถือจงภูมิใจในการเป็นชนกลุ่มน้อยของท่านได้เลย) แต่พอสอนไปสอนมามันกลับไม่เชื่อแถมด่าเราควายอีกอันนี้สิน่าเจ็บใจ จนคนที่สอนชักหมดศัทธาในการสอน เนื่องจากไอ้คนที่ถามโง่เกินกำลังที่จะสอนจริงๆ อันนี้ก็ต้องทำใจ
4.พวกมาหาเพื่อนคุยคนพวกนี้มาหาเพื่อนคุยเฉยๆ (แต่คุยไปคุยมาเลยกลายเป็นหาแฟนกันไปเลยซะงั้น)
5.พวกมาหาเพื่อน(มันหาเพื่อนจริงๆๆแต่มันดันหาเพื่อนนอน คุยSEX เล่นSEXPHONE หรือ วิวกล้องโชว์ กันให้ตื่นเต้น)
6.พวก มาเพื่อนั่งดู (พวกนี้เป็นพวกเบื่อหนายต่อการคุย มานั่งดูพวกที่คุยกันอยู่ มันจะมีไรฮาๆให้เห็นอยู่ตลอด) พวกนี้ไม่มีไรทำจริงๆแต่ก็ดีไปอีกแบบ ได้รู้ว่าเขาคุยไรกันอาจจะมีไรที่น่าสนใจที่เราไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้
7.พวกมาเพื่อจีบ อันนี้เห็นได้ตลอดให้ห้องแชตทั่วไป
8.มัน มาเพื่อหลอก อันนี้ก็เยอะ ประมาณว่ามาบริหารเสน่ห์ หว่านกันเหลือเกิน ไม่รู้เป็นไร ฉันสวย ผมหล่อ แล้วเอารูปคนอื่นมาลง พอเจอเข้าจริงๆ หนีกันแทบไม่ทัน
9.พวกเฮียหลง เจ๊หลง  คิดว่าตัวเองหล่อ หรือสวยซะเต็มประดาเอารูปมาให้คนอื่นโหวตอยู่ได้ ทั้งๆที่ ไม่ได้หล่อ หรือสวยเล๊ยยย ก็อย่างว่าอะนะ คนเราอย่างน้อยก็เห็นตัวเองหล่อบ้างบางมุมก็พอละ ใครจะด่าช่างมัน แต่ว่า วันนี้ข้าหล่อ 555(วันไหนก็ไม่หล่อคิดเอาเองทั้งนั้น)

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้นถ้าเรามีจุดยืนในการเล่นและ เล่นแชตเพื่อผ่อนคลาย หรือหาความรู้ มันก็จะช่วยให้เรามีความคิดดีๆได้เหมือนกัน การแลกเปลี่ยนความรู้จะกว้างขึ้น แต่อย่าหมกตัวอยู่กับมันมากจนเกินไปนัก ออกกำลังกายซะบ้างไม่ควรจมอยู่กับมันตลอดเวลา น้องหน้าเหลี่ยมอะ ห่างๆมันซะหน่อยเดี๋ยวไฟ ดูดตายกันพอดี

กรรมที่ทำบนอินเตอร์เน็ต

การเขียนข้อความหรือนำเสนอเนื้อหาอะไรผ่านอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝง ถือเป็นกรรมหรือไม่? เพราะไม่มีใครรู้จักชื่อเรา ไม่มีใครเห็นหน้าเรา ไม่มีใครได้ยินเสียงเรา เหมือนเราไม่มีตัวตน
คิดว่าคำถามนี้จะนำ ไปสู่ความเข้าใจเรื่องกรรมได้ลึกซึ้งขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่ยังนึกว่าการก่อกรรมเป็นเรื่องที่ต้องโชว์ตัว โชว์เสียง หรืออย่างน้อยก็ต้องมีชื่อแซ่ของเจ้าตัวปรากฏเป็นที่รับรู้เสียก่อน ความเข้าใจนี้น่าจะคลาดเคลื่อนกรรม นั้นคือเจตนา ต่อให้คุณนอนคิดร้ายอยู่บนยอดเขา ไม่มีใครเห็น คุณก็ทราบชัดอยู่แก่ใจ และสามารถสำเหนียกรู้สึกได้ว่าใจคุณดำมืดเพราะโดนเมฆหมอกอกุศลทาบทับแล้ว
สำหรับ กรรมที่ทำอยู่ในใจจริงๆ มีผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคุณเองคนเดียวนั้น เรียกว่า มโนกรรมสำหรับมโนกรรมนั้นจะสำเร็จสมบูรณ์เต็มขั้นในทันทีที่ตั้งใจคิดและมีความ ยินดีกับความคิดนั้น หากจะพูดว่ามโนกรรมคือกรรมที่ก่อแล้วยังไม่ทันส่งผลกระทบดีร้ายกับผู้อื่นก็ คงได้ ตัวอย่างเช่นคุณคิดจะด่าเขา แต่ระงับใจไม่ด่า อย่างนั้นก็เป็นเพียงมโนกรรมอันเป็นอกุศล มีผลให้จิตคุณทุกข์ร้อนอยู่คนเดียว ยังไม่เป็นวจีกรรม ยังไม่มีเสียงกระทบหูใครให้ใจเป็นทุกข์ขึ้นมา
แต่หากคลื่นความคิด แรงจนทะลักรั้วกั้น หลุดจากสมองไปกระทบผู้อื่น ไม่ว่าจะทางภาษาพูดหรือภาษาเขียน ทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคุณคิดอย่างไร ตรงนั้นจัดว่าเป็นวจีกรรมได้หมด พูดง่ายๆว่า ภาษานั่นเองคือเครื่องมือก่อวจีกรรมของมนุษย์

ฉะนั้น คุณจะแอบเขียนอะไรทางอินเตอร์เน็ตโดยใช้นามแฝงเฉพาะกิจ ไม่มีใครอื่นรู้เห็น ไม่มีใครรู้จักเลย แม้เพียงครั้งเดียวก็นับว่าสร้างวจีกรรมไปแล้วหนึ่งครั้ง และกรรมก็จะติดตามคุณเป็นเงาตามตัว ไม่ผิดต่างไปจากกรรมอื่นๆที่กระทำโดยเปิดเผยหน้าตาตัวตน เจตนาเกิดขึ้นที่จิตของคุณ กรรมก็เกิดที่จิตของคุณเช่นกัน เพราะกรรมคือเจตนา เจตนาคือกรรม ดังที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าบุคคลคิดแล้วจึงก่อกรรมทางกาย วาจา ใจ
อินเตอร์ เน็ตเปิดโอกาสให้เราเห็นอะไรหลากหลายจริงๆ แม้แต่การทำงานของกรรม อาจเป็นตัวอย่างจากหลายๆคนที่คุณรู้จัก เห็นกรรมทางวาจาของเขาในเบื้องต้น แล้วได้เห็นพัฒนาการหรือความเสื่อมทรามทางจิตใจในเวลาต่อมา เป็นไปตามวิธีคิดเขียนให้ดีให้ร้ายแก่ผู้อื่น

ผู้ก่อความวุ่นวาย นานไปย่อมมีจิตใจที่วุ่นวาย ปั่นป่วนเหมือนพายุ และแสดงแนวโน้มที่จะฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปในเรื่องเหลวไหล พูดจาจับต้นชนปลายไม่ติดมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ก่อกระแสความเยือกเย็น นานไปย่อมมีจิตใจเยือกเย็น สงบราบคาบผาสุก และแสดงแนวโน้มที่จะแน่วนิ่งหนักแน่นในเรื่องเป็นเหตุเป็นผล พูดจามีต้นมีปลายมากขึ้นเรื่อยๆบอก ได้เลยว่า วจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น อาจจะให้ผลเร็วและแรงเสียยิ่งกว่าวจีกรรมที่เกิดขึ้นในโลกความเป็นจริงเสีย อีก

ที่เป็นเช่นนี้เพราะอะไร? เพราะบนอินเตอร์เน็ตอาจมีผู้รับคำพูดของคุณจำนวนมาก

ขอให้ลองนึกดู หากคุณพูดเบาๆว่า ไอ้โง่ก็อาจมีคุณคนเดียวในโลกที่ได้ยินเสียงอกุศลของตัวเอง แต่ถ้าคุณพิมพ์คำว่า ไอ้โง่ลงในกระทู้ของเว็บบอร์ดที่มีผู้เข้าเยี่ยมชมคับคั่ง คุณไม่มีทางปรับให้ดังหรือเบาได้ตามใจชอบได้เลย คุณทำอกุศลกรรมกับคนแบบไม่เลือกหน้าเข้าแล้ว คำด่านั้นอาจทำให้คนนับพันนับหมื่นเกิดความแสลงใจ ความแสลงใจของคนนับไม่ถ้วนนั่นแหละ จะย้อนกลับมาก่อเหตุให้คุณแสลงใจยิ่งกว่าพวกเขาได้

เห็นแล้วนึก เสียดาย หลายคนยังเป็นเด็ก และมีความสนุกที่จะขีดเขียนข้อความฝากไว้ในอินเตอร์เน็ตด้วยความคึกคะนอง บางทีไม่รู้ตัวเลยว่าเอาอนาคตมาทิ้งเสียด้วยการสนทนาแบบไร้หน้าไร้เสียงนี่ เองโอกาสก่อกรรมในยุคไอทีของพวกเรานี้ มีได้เป็นร้อยเป็นพันเท่ามากกว่ายุคอื่น กระดิกนิ้วง่ายๆไม่กี่ที ผลอาจใหญ่หลวงยิ่งกว่าพยายามพูดในห้องประชุมใหญ่หลายๆอาทิตย์เสียอีก หากจิตตั้งไว้ดีแล้วก็สบายตัวไป แต่หากจิตยังตั้งไว้ในมุมมืด อย่างนั้นก็คงน่าเป็นห่วงหน่อย

เว็บบอร์ดสนเท่ห์

ระยะนี้มีคดีฟ้องร้องกัน ในอินเตอร์เน็ตบ่อยๆ จึงมีคนสงสัย นอกจากคนโพสต์ข้อความ ให้ร้าย...เจ้าของเว็บบอร์ด จะต้องรับผิดชอบ ความเสียหาย ตามกฎหมายด้วยหรือไม่? “ไม่แน่ใจ...

เจ้า ของเว็บบอร์ด เว็บไซต์ที่มีชื่อเสียงให้บริการมานานกว่า 5 ปี ปัจจุบันมีผู้เข้าใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละ 1,000 ราย อธิบายหลักการว่า ถ้ายึดหลักกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ ที่กำลังอยู่ในช่วงเข้าสภา เขียนไว้ว่า...คนที่ทำเว็บไซต์ เข้าข่ายเป็นผู้ให้บริการ มีหน้าที่เอาข้อความที่ไม่เหมาะสมออกจากระบบทันทีที่ตรวจพบบางครั้ง ...ก็อาจมีช่วงเวลาหนึ่ง ที่เจ้าของระบบยังตรวจสอบไม่พบ จึงเป็นเรื่องยากที่จะตัดสินว่า จะต้องรับผิดชอบด้วยหรือไม่ แต่สุดท้ายผลจะออกมาเป็นอย่างไรก็ต้องพิจารณาโดยศาล

เจ้าของเว็บบอร์ดบอกว่า กฎหมายฉบับนี้มีความชัดเจน ในการแยกแยะ...ใครเป็นใครในโลกอินเตอร์เน็ต...ทำให้เห็นภาพคนที่ทำเว็บบอร์ด คือผู้ให้บริการ...เป็นไปไม่ได้ที่จะมานั่งตรวจนั่งกรองผู้ใช้บริการได้ร้อยเปอร์เซ็นต์...กฎหมายก็ให้ความเป็นธรรม หากตรวจพบ...ลบทิ้งจากระบบแล้ว กฎหมายถือว่า...เจ้าของเว็บบอร์ดไม่มีความผิด

กรณีผู้เสียหายเรียกร้องให้เจ้าของเว็บบอร์ดหาตัวคนโพสต์มาให้ได้ กฎหมายนี้ก็ระบุไว้...

หน้าที่ของผู้ให้บริการไม่ต้องไปหาตัวผู้โพสต์ข้อความ แต่มีหน้าที่เก็บไอพีแอดเดรสเอาไว้ตามกำหนดเวลา...ไม่ต่ำกว่า 30 วัน

ถ้ามีการตรวจค้น ผู้ให้บริการจะต้องเรียกข้อมูลนี้มาให้ได้

โลก เว็บไซต์ถือเป็นสังคมๆหนึ่งเหมือนสังคมโลกปกติ ที่อาจจะมีคนนอกกรอบอยู่ร่วม ยังไม่แน่ชัดว่า...เป็นโลกสาธารณะจริงๆ หรือเป็นแค่เพียงโลกสมมติใบเล็กๆ

นักกฎหมายหลายคนท่านมองต่างออกไป แม้ว่าใครจะเข้ามาใช้ต้องล็อกอินเข้าระบบถึงจะใช้บริการได้ ท่านก็ว่า...เว็บไซต์นี้เป็นสาธารณะ

ผู้ใช้ทั่วไปอาจมองต่างมุม...ถ้าต้องใช้รหัสผ่านไม่น่าใช้สถานที่สาธารณะ...

คนที่เข้าไปจะต้องยอมรับกฎเกณฑ์...กฎกติกาเว็บไซต์ ถือเป็นที่รโหฐานที่ไม่ใช่ ที่สาธารณะ

นี่คือมุมมองที่ต่างกัน แต่ถ้ามีกรณีต้องขึ้นศาล จะเป็นเรื่องที่ต้องโต้แย้งกัน...อาจถึงขั้นเถียงกันไม่จบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลายคนอาจมองไปไกล สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกอินเตอร์เน็ต ก็เหมือนโลกสมมติเอาจริงเอาจังอะไรไม่ได้

เว็บบอร์ดก็ไม่ต่างกับเด็กช่างพ่นสีกำแพงด่าฝากกันไปมา...ขึ้นอยู่ กับว่าใครจะเอาเรื่องราวบนกำแพงมาเป็นอารมณ์หรือเปล่า

แม้ว่าโลกอินเตอร์เน็ตจะเป็นเรื่องสมมติ แต่ก็ยังกระทบกับโลกจริง มีความเชื่อมโยงส่งผลกระทบหากัน

เจ้าของเว็บไซต์หลายๆเว็บ แต่ละคนก็มีมุมมองต่างกัน...

ตัวอย่างเว็บพันทิป ก็จะทำให้สองโลกเป็นเรื่องเดียวกันมากที่สุด ขณะที่บางคนก็ทำสองโลกให้เป็นคนละโลก

ความ คิดเห็นยังสุดโต่งทั้งสองฝ่าย...จะเขียนวิจารณ์ในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างไร ก็ต้องมีผลกระทบกับโลกจริงอยู่ดี...ควรมองว่าอะไรที่ทำในโลกจริงๆได้ ก็ควรจะทำในโลกอินเตอร์เน็ตได้ ขณะที่อะไรที่ทำในโลกจริงไม่ได้...ในโลกอินเตอร์เน็ตก็ไม่ควรทำ

พาดพิง ไปถึงเว็บไซต์พันทิป...วันนี้การที่ใครจะโพสต์กระทู้สักหนึ่งข้อความ จะมีขั้นตอนยุ่งยาก มีกฎกติกามากมาย...ไม่ใช่ว่าจะใช้ชื่อปลอม อีเมล์ปลอมก็จะผ่านไปได้

เว็บพันทิปตรวจสอบรหัสบัตรประชาชน 13 หลัก...ระบบจะล็อกอินเข้าไปในเว็บไซต์กรมการปกครอง ตรวจว่าข้อมูลที่ได้ตรงไหม

วิธีนี้...เปรียบกับโลกความจริง ก็เป็นเหมือนการเดินเข้ามาสมัครสมาชิก

เว็บไซต์ถึงโต๊ะรับสมัคร ก็ขอดูบัตรประชาชน ผู้สมัครยื่นให้ดู หน้าตรง บัตรตรง... แล้วก็คืนบัตร

การ ตรวจสอบขนาดนี้ ถามว่ามีโอกาสพลาดไหม ก็ต้องบอกว่า...มี แต่ มีน้อย อาจเป็นไปได้ว่าฝ่ายบุคคลบริษัทไหนสักแห่ง เอาเลขบัตรประชาชนพนักงานมาป้อนสมัครสมาชิก แต่คนส่วนนี้ก็ยังเป็นส่วนน้อย

คนส่วนใหญ่ร้อยละ 95 ทำแบบนี้ไม่ได้

ถ้าตรวจสอบกันได้ ใครเป็นใคร เว็บบอร์ดที่ใครต่อใครคิดว่าเป็นกำแพงระบายอารมณ์...ก็คงไม่ใช่ แต่จะยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

เว็บบอร์ ดยังเป็นกำแพงเหมือนเดิม แต่เป็นกำแพงที่ใครก็มีสิทธิที่จะเข้าไปใช้ เข้าไปถ่ายทอดข่าวสารต่างๆได้...เขียนได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ไม่ใช่กำแพงที่อยู่ในป่า...อาจเรียกชื่อใหม่ว่ากำแพงข่าวสาร ที่มีทั้งสาระหลายแง่มุม หลายรสชาติ

การวิพากษ์วิจารณ์ในเว็บบอร์ด ...เป็นสิ่งที่เว็บมาสเตอร์ จะต้องเน้นย้ำกับคนที่อยู่ในสังคมเว็บไซต์นั้นๆ เสมอ โดยเฉพาะบุคคลสาธารณะ ที่ยังมีเส้นแบ่งไม่ชัด...จะวิพากษ์วิจารณ์ได้มากน้อยแค่ไหน จะต้องรู้ว่า...วิจารณ์ได้เฉพาะสิ่งที่เขาทำต่อสาธารณะ

บุคคลสาธารณะที่เป็นนักแสดงจะวิจารณ์ว่าแสดงดีไม่ดี...ก็ทำได้ แต่ถ้าไปวิจารณ์เรื่องส่วนตัว เรื่องลูก...เมีย ก็ไม่ควรทำ

นักแสดงรับใช้สาธารณะในส่วนของการแสดง ไม่ได้เอาทั้งชีวิตมารับใช้สาธารณะ...ถ้าวิจารณ์เกินขอบเขต ก็ไม่แฟร์กับเขา

บาง คนอาจแย้งว่า ถ้าไม่วิจารณ์บุคคลสาธารณะในเรื่องส่วนตัว แต่ บุคคลเหล่านี้เป็นเหมือนโมเดลต้นแบบของวัยรุ่นเยาวชนทั่วไป ถ้าไม่พูด... ไม่สะท้อน...ไม่วิจารณ์ให้สังคมเห็นถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เหมาะ...แสดง ว่าทุกคนก็ทำได้มุมมองนี้ปฏิเสธไม่ได้...ต้องหาทางบรรจบแนวคิดที่ต่างกันนี้ให้ได้ แต่จะบรรจบกันอย่างไร...ดูจะเป็นเรื่องลำบาก
ทุก วันนี้บรรยากาศในเว็บบอร์ด...ขึ้นอยู่กับคนที่เข้ามาใช้บริการ เจ้าของบอร์ดหรือผู้ให้บริการก็ได้เพียงแค่ดู...อะไรหนัก แรงเกินไปก็ตัดทิ้ง

เหตุผลสำคัญที่หลายเว็บไซต์ต้องมีระบบล็อกอิน ใช้รหัสผ่าน

การล็อกอินจะช่วยเตือนใจ...จะทำอะไร ก็ต้องชั่งใจ

เหตุผล สำคัญ...การมีระบบผู้ใช้ชัดเจนเชื่อมโยงไปถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลใน เว็บไซต์ ถ้าไม่ทำอะไรอย่างนี้...ก็จะมองว่าเว็บบอร์ดในโลกอินเตอร์เน็ต เป็นแค่บัตรสนเท่ห์ใครอยากให้ร้ายใคร...ใครอยากให้ใครเสื่อมเสียในเรื่อง อะไรก็ทำได้

ช่วงหลายปีที่ผ่านมา...เจ้าของเว็บรายนี้รู้สึกว่า คนส่วนใหญ่มองอินเตอร์เน็ตเป็นโลกไร้สาระ...มีทั้งเรื่องจริง เรื่องเท็จมั่วไปหมด

อินเตอร์เน็ตโตแต่ปริมาณ...ไม่มีคุณภาพ

แม้ว่าระบบล็อกอินจะทำให้ผู้ใช้งานลำบากขึ้น อย่างน้อยก็เป็นการสร้างทางเลือก...ยังมีเว็บไซต์น้ำดี ที่มีความจริง มีคุณภาพ

เจ้า ของเว็บไซต์ที่มองว่า...เมื่อมีกฎกติกามารยาทยุ่งยากจะทำให้สมาชิกลดลง ขอให้เชื่อได้ว่ายังมีสมาชิกที่ยินดีใช้ระบบนี้ ผู้ที่ใช้บริการเป็นประจำมักจะไม่มีปัญหา

เว็บฯไหนมีกำลังพอที่จะทำ ได้ ก็น่าจะทำ...เมื่อผู้ใช้เข้าใจถึงความจำเป็น...นี่คือการทำประโยชน์ ถ้าช่วยกันทำมากๆ จนเป็นส่วนใหญ่ ก็จะทำให้ข้อมูลในอินเตอร์เน็ตโดยรวมมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น.